วันอังคารที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

เปลี่ยนตัวเองเป็นนักลงทุน

    การลงทุน 

     คำนี้อาจดูไกลตัวเกินไปสำหรับคนที่ยังทำงานกินเงินเดือนกันอยู่ ณ ตอนนี้  เพราะว่า เมื่อเราได้ยินคำว่า การลงทุน  เรามักจะนึกถึงการลงทุนกับบริษัทต่าง ๆ บ้างละ  การเปิดร้านขายสินค้าระดับใหญ่โตบ้างล่ะ  เช่น เปิดร้านสะดวกซื้อระดับประเทศ ยกตัวอย่าง  เพรนชายเซเว่น หรือการเปิดโรงงานผลิตอาการกระป๋อง  อาหารสำเร็จรูป ฯลฯ เยอะแยะเต็มไปหมด  ซึ่งทั้งหมดนี้นั้น  จำเป็นต้องใช้เงินลงทุนค้อนข้างสูงมาก(หลักแสน หลักล้าน หลายสิบล้าน) มนุษย์เงินเดือนหลายคนจึงไม่เคยคิดจะสนใจ หรือ ไม่ลองศึกษาการลงทุนเลย  เพราะคิดว่า "ไม่มีปัญญา"
     แต่ในความเป็นจริงแล้ว  ไม่ว่าอะไรมันก็คือการลงทุนทั้งนั้นแหละครับ
ถามว่า "ทำไมผมถึงแบบนี้"  ผมจะยกตัวอย่างให้ดูนะครับ  ลองนึกถึงร้านข้าวราดแกงที่คุณเคยเห็น ตั้งแต่ที่คุณยังเป็นเด็ก จนมาถึงปัจจุบันนี้ของคุณดูสิครับ  ว่ามีอยู่กี่ร้าน  แล้วปัจจุบันนี้ ร้านเหล่านั้นยังคงอยู่ให้คุณเห็น หรือยังเปิดให้บริการอยู่อีกกี่ร้าน หายไปกี่ร้าน  บางคนอาจคิดว่าร้านที่ปิดไป  เค้าคงไปทำอะไรที่มันดีกว่าไปแล้วหละ  ก็จริงครับ  แต่ ผมกล้าการันตีได้เลยครับว่า  ไม่จริงทั้งหมด  มีเพียงแค่บางร้านเท่านั้นที่จะไปทำอะไรที่ดีกว่านอกเหนือจากนั้นผมบอกได้เลยครับ   
   1.  ย้ายร้าน
   2.  เปลี่ยนไปทำอาชีพอย่างอื่นที่ที่อาจมีรายได้ใกล้เคียงกันกับข้าวราดแกงนี่แหละครับ  นี่เรื่องจริงครับ  บางร้านถึงกับเจ้งเลย
   ถ้าคุณบอกว่าร้านข้าวราดแกงไม่มีทางเจ้งหรอก  คนมันต้องกิน  ฉะนั้นไม่มีทางเจ้ง
ถ้างั้น  ผมถามคุณว่า  คุณยังกินข้าวแกงร้านเดิมสมัยคุณเป็นเด็กอยู่มั้ย  หรือคุณเปลี่ยนร้านแล้ว
    1. คุณยังกินที่ร้านเดิม   ถ้าเป็นแบบนี้  ร้านที่กำลังเปิดใหม่ก็คงจะขาดลูกค้าไปอีก 1 คน แล้วถ้ายังมีอีกหลายคนที่ยังกินร้านเดิมอยู่  ไม่กินร้านใหม่  แน่นอนว่า  การลงทุนครั้งนั้นของเขาคือ  เจ้ง
    2. คุณเปลี่ยนร้านแล้ว   ถ้าเป็นแบบนี้ล่ะ  แสดงว่าร้านใหม่กำลังเติบโต  แต่ร้านเดิมที่คุณเคยกินกำลังจะเจ้ง
   

ร้านข้าวราดแกงจึงมีโอกาสอยู่ 2 ทาง
1. ลูกค้าพอใจ และกลับมาที่ร้านอีก = รุ่ง
2. ลูกค้าไม่พอใจ  และ  ไปร้านอื่น = ร่วง
ฉะนั้น  ถ้าตีเป็นเปอร์เซ็นความเสี่ยงก็คือ  50:50 ถูกต้องนะครับ


  เห็นมะ  พอเอามาพูดถึงเรื่องกิจการใกล้ตัว  การลงทุนอะไร ๆ มันก็เสี่ยงทั้งนั้นแหละ  แต่นั่นสำหรับคนที่ไม่รู้เท่านั้นว่าต้องทำยังไงดี
  ดังนั้นนะครับ  การลงทุนที่ดีที่สุดในตอนแรกก็คือการลงทุนกับความรู้    อยากลงทุนเรื่องอะไรก็แค่ไปศึกษาเรื่องนั้นครับ

อีกอย่าง ถ้าคุณเป็นมนุษย์เงินเดือน  นั่นหมายความว่าคุณเป็นลูกจ้าง  คุณจะอยู่รอดในบริษัทได้ก็ต่อเมื่อคุณรู้งานมากพอ  และมากกว่าเพื่อนร่วมงานของคุณอ่ะ  เพราะถ้าวันนึก  บริษัทที่คุณทำงานต้องการเลือกพนักงานเพราะจ้างคนมากไม่ไหว   เขาก็คงจะต้องเลือกคนที่ทำงานดีไว้ก่อน  ส่วนคนที่ไม่เอาไหน  ก็คงเลิกจ้างไป (ประสบการณ์จริงของผมเลย  ตอนอยู่เซเว่น  โชคยังดีครับที่ผมไม่ใช่คนที่โดนเลิกจ้าง)
แต่ถ้าวันนึงเขาได้คนที่เจ๋งกว่าคุณเข้าทำงาน  แล้วคุณดันเป็นคนที่ยังไม่ใช่สำหรับบริษัทนั้นขึ้นมา  นั้นหมายถึงคุณกำลังรอตกงานได้ทุกเมื่อ  ถูกต้องมั้ยอ่ะ  50:50

     เอาล่ะครับ  มาเข้าเรื่องกันเลยดีกว่านะ   ผมรู้จักการลงทุนอยู่อันนึง  เรียกได้ว่ากำไรของมันเนี่ย  สูงมากเลยทีเดียว  บางคนได้กำไร 200 - 400 % แต่ก็ต้องขึ้นอยู่กับความรู้ความสามารถนะ  ไม่ใช่ทุกคนหรอก  ก็เหมือน ๆ กับ ร้านข้าวราดแกงอะแหละ  บางร้านก็อย่างกับภัตตาคาร  บางร้านก็ร้านข้างทางทั่วไป  แหละสิ่งที่ผมพูดถึงก็คือ  การเทรดค่าเงิน  หรือหลายคนรู้จักกันในชื่อ  FOREX ครับ  
    FOREX  คือการดูแนวโน้มของกราฟคู่สกุลเงินว่าแนวโน้มไปในทิศทางใด  (ขึ้น หรือ ลง)   ตัวอย่างค่าเงินที่นิยมที่สุดคือ ( EURUSD ) ซึ่งแบ่งออกเป็น 2 ค่าเงินคือ EUR (เงินยูโร) กับ USD(ดอลล่าร์)  ง่าย ๆ ครับ  ถ้าค่าเงิน EUR กำลังดีกว่า USD คู่เงินนี้กราฟก็จะพุ่งสูงขึ้น  ในทางกลับกัน  ถ้า USD ดีกว่า EUR คู่เงินนี้  กราฟก็จะดิ่งลง  เท่านั้นเอง  ซึ่งการวิ่งของกราฟ  ก็จะมีเทคนิคในการมองหลายวิธี  แล้วแต่ความถนัด  ซึ่งอันนี้มีคนสอนนะครับ  ทั้งฟรี  แล้วก็เก็บเงินด้วย  แล้วแต่เราจะเลือกอาจารย์ครับ  ส่วนตัวผมว่าเสียเงินจะสอนละเอียดกว่า

    แต่ความรู้เหล่านี้  ผมก็ยังกล้าบอกเหมือนกันครับว่า มันอยู่ที่เราชอบและเลือกที่จะใช้เทคนิคไหน  มันใช้ได้เหมือนกันหมด  เพียงแต่ผลกำไรจะต่างกันแล้วแต่เทคนิค  ขาดทุนก็ด้วยนะ  ใช่ว่าจะกำไรอย่างเดียว  อย่างที่บอก 50:50
   ส่วนโบรกเกอร์นั้น   จริง ๆ มันมีหลายโบรกมาก ๆ อ่ะ   แต่ส่วนผมเลือก EXNESS นะครับ  เพราะว่า  
1. ฝาก - ถอน เร็วมากกกกกก   เมื่อเทียบกับโบรกอื่นที่ผมเคยใช้ 
2. ปัญหาน้อยสุดเท่าที่ผมเคยใช้
3. ส่วนใหญ่ค่า SPREAD ต่ำในเวลาปกติ

ส่วนข้อเสียก็มีนะ  คือ 
1. โบรกนี้จะมีการโกง ค่า SPEAD  ตอนมีข่าวเยอะกว่าโบรกอื่นพอสมควร  เน้นย้ำว่าเฉพาะตอนมีข่าว ซึ่งทุุกโบรกเป็น  เพียงแต่ EXNESS มันจะกว้างกว่าโบรกอื่นนิดหน่อย - เยอะ  ทางแก้ก็มีนะครับ  
1.1 เลี่ยงเทรดไปเลยช่วงข่าว
1.2 ก็พยายามเทรดคู่เงินที่เป็นขา BUY หรือ ซื้อ ขึ้นไว้ก่อน
2. ตอนช่วงกราฟแรง ๆ ส่วนใหญ่มันจะไม่ให้เรา  เข้า - ออก ORDER เพื่อทำกำไร - ปิดขาดทุน  ส่วนทางแก้นั้น
2.1 ก็อย่างที่บอกครับให้เลี่ยงเทรดช่วงข่าว  เพราะช่วงที่กราฟจะวิ่งแรงที่สุดก็คือช่วงที่มีข่าว ซึ่งข่าวก็มีอยู่ 3 ระดับ  คือ  ไม่วิ่งก็มี  วิ่งบ้างไม่วิ่งบ้างก็มี  ขึ้น ๆ ลง ๆ แบบกลาง ๆ ไปจนถึงวิ่งแบบเยอะมาก  
2.2 ให้เราตั้ง กำไรสุทธิ  และ  ขาดทุดที่เรารับได้ไว้เลย  ชนทางไหนก็จบ  ซึ่งวิธี  และจุดกำไร ขาดทุนก็แล้วแต่ความโลภของแต่ละคนแหละครับ
ส่วนถ้าถามผม  การเลี่ยงเทรดเป็นวิธีที่ดีสุดครับ  รอข่าวจบค่อยเทรดก็ยังไม่สาย

ที่สำคัญที่ผมอยากจะแนะนำ  ก็คือ  การลงทุน  ไม่ว่าอะไรก็ตามมันมีความเสี่ยงในตัวของมันเอง  ทุกอย่างแหละครับ  ไม่ว่าจะร้านข้าวราดแกง  หรือ  หุ้น  ทุกอย่างอ่ะ มันทำเราเจ้งได้หมดถ้าขาดความรู้  และอะไรก็แล้วแต่ที่คุณเคยเห็นว่าเสี่ยง  หากศึกษาให้ดีก่อน  ก็จะช่วยลดความเสี่ยงที่ว่าลงไปเยอะครับ  

และใครที่อยากเริ่มต้นลงทุนเทรดกับ โบรกเกอร์ EXNESS ก็คลิ๊กลิ้งนี้ได้เลยครับ http://bit.ly/2izlww2

ส่วนวิธีเปิดบัญชี EXNESS แบบละเอียด สามารถเข้ามาดูได้ที่นี่ครับhttp://mysuccessfx.blogspot.com/2016/02/forex_20.htmlhttp://mysuccessfx.blogspot.com/2016/02/forex_20.html

วันศุกร์ที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2560

เปิดตำนานอาถรรพ์ศุกร์ที่ 13



เปิดตำนานอาถรรพ์วันศุกร์ที่ 13 ที่ใครๆก็กลัวกัน เขากลัวอะไร ทำไม และมีเหตุการณ์ใดบ้างที่ทำให้หลลายๆคนกลัว วันนี้เราจะหาเหตุผลนั้นไปด้วยกัน



 ความเป็นมาของคำว่า "อาถรรพ์ ศุกร์ 13" นั้น เป็นความเชื่อมาจากฝรั่ง โดยเฉพาะชาวคริสต์ นิกายโรมันคาทอลิก ที่เห็นว่า เลข 13 เป็นเลขแห่งความโชคร้าย ถึงจะลงมือทำการสิ่งใดก็จะไม่ประสบผลสำเร็จ เนื่องจากวันดังกล่าว เป็นวันที่พระเยซูทรงสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน หลังจากที่รับประทานอาหารมื้อสุดท้ายร่วมกับสาวกทั้ง 12 คน

          ศุกร์ 13 จะเป็นอาถรรพ์หรือเปล่าไม่รู้ แต่ฝรั่งต่างเชื่อเรื่องนี้อย่างมาก บางคนก็จิตตกวิกลจริต หวาดผวาจนขึ้นสมอง กลายเป็น "โรคกลัววันศุกร์ที่ 13" หรือโรคที่มีชื่อเรียกยาว ๆ ว่า "พาราสเคฟดิคาเทรียโฟเบีย" (paraskevidekatriaphobia) หรือโรค "ฟริกกาทริสไคเดคาโฟเบีย" (friggatriskaidekaphobia)

          ทั้งนี้ จากการศึกษาประเมินพบว่า คนอเมริกันเป็นโรคดังกล่าวถึง 21 ล้านคน หรือประมาณ 8% ของประเทศเลยทีเดียว แต่เดี๋ยวก่อน หลายคนอาจจะคิดว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องงมงาย ลองมาดูสถิติต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในศุกร์ 13 กันดีกว่า ขอบอกว่าไม่ใช่เรื่องเล่น ๆ เลยนะ

          ศูนย์จัดการความเครียดและสถาบันบำบัดอาการกลัวในเมืองแอชวิลล์ มลรัฐนอร์ทแคโรไลนา สหรัฐอเมริกา ประเมินว่า ในแต่ละครั้งที่มีวันศุกร์ที่ 13 สหรัฐอเมริกาต้องสูญเสียทางเศรษฐกิจเป็นเงินถึง 800-900 ล้านเหรียญสหรัฐทีเดียว เพราะว่าประชาชนบางคนไม่กล้าเดินทางไปไหน... ไม่กล้าแม้แต่จะไปทำงาน

          ส่วนอุบัติเหตุจาก "ศุกร์ 13" เมื่อเปรียบเทียบข้อมูลจากอุบัติเหตุระหว่างวันศุกร์ที่ 6 กับวันศุกร์ที่ 13 นั้น แตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด (ข้อมูลเมื่อ ค.ศ. 1993) ตัวเลขผู้ประสบอุบัติเหตุมากกว่าวันศุกร์อื่น ๆ ถึง 52% เลยทีเดียว